เศรษฐกิจสหรัฐมีเสถียรภาพมากขึ้น การใช้จ่ายของผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะแข็งแรงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดไว้ ความเสี่ยงต่อการเกิด recession จึงลดลง ขณะที่ เศรษฐกิจจีน แม้ปัจจุบันยังคงอ่อนแอ แต่คาดจะค่อยๆมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น หลังทยอยประกาศใช้ทั้งนโยบายการเงิน-คลัง ช่วยเหลือเศรษฐกิจ

เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี จะเติบโตเป็นลักษณะขั้นบันไดต่อเนื่องด้วยปัจจัยบวก เช่น การส่งออกเติบโตดี, การเบิกจ่ายภาครัฐฯ เร่งตัวขึ้น, การท่องเที่ยวปีนี้ โตแบบไม่น่าผิดหวัง เป็นต้น

แนะนำจัดพอร์ตแบบ “Moderate High Risk Portfolio” (เดิม Moderate Risk) โดยให้น้ำหนักหุ้นไทย ที่ 30% (เดิม 25%), หุ้นต่างประเทศ ที่ 30% (เดิม 20%), ทองคำ ที่ 5%, Asset Fund ที่ 5% และตราสารหนี้ 30%

โดยเราแนะนำลงทุนหุ้นไทยผ่านแผนลงทุน ZEAL ที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดต่อเนื่อง… สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เราแนะนำ “ซื้อ” กองทุน 1) KFGBrand-A ที่ลงทุนบริษัทที่เป็นเจ้าของ Brand สินค้าอุปโภคบริโภค “ระดับโลก” 2) ASP-USSmall ซึ่งคัดเลือกหุ้นสหรัฐขนาดเล็ก เฉพาะที่มีศักยภาพการเติบโตโดดเด่น 3) Principal VNEQ-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนามโดยตรง และมีผลงานระยะยาวที่โดดเด่น

(Wealth Strategy เป็นรายงานที่ บล.ธนชาต จัดทำให้กับนักลงทุน โดยมีการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และนอกประเทศ นโยบายรัฐบาล แนวโน้มตลาดหุ้น-หุ้นรายตัว อุตสาหกรรม กระแสเงินทุน อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในรูปแบบที่กระชับเข้าใจง่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดสินทรัพย์ในการลงทุน (Asset Allocation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในสภาวะการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวมเร็ว และมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ในรายงาน Wealth Strategy ไม่ได้มีเพียงการแนะนำการลงทุนในหุ้นสามัญในประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการลงทุนต่างประเทศ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนประหยัดภาษี (RMF และ LTF) กองทุนอสังหาฯ สินค้าโภคภัณฑ์ และการพักเงินในกองทุนการเงินระยะสั้น (Money Market Fund)

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Wealth Strategy….