🌎 Global Update Deadline ภาษีทรัมป์กดดันหุ้น US! ขณะที่จีนเปลี่ยนเกม หลังตัวเลขครึ่งปีแรกโตเกินเป้า
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดตลาดได้คึกคัก รับแรงหนุนจากงบริษัทยักษ์ใหญ่ MSFT และ META ที่ดีกว่าคาด
แต่หลังจากนั้น ก็ค่อยๆ เผชิญแรงขายทำกำไรต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนกังวลกับเส้นตายการเจรจาการค้าที่ใกล้เข้ามา
🔊เรื่องราวที่น่าสนใจ
1. ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff)
- ประเทศสำคัญในอาเซียน เช่น ไทย-ฟิลิปปินส์-อินโดฯ-มาเลเซีย 19% ถือว่าไม่แตกต่างมากนักเมื่อเทียบกับเวียดนามที่โดน 20%
- ไต้หวัน 20% เสียเปรียบญี่ปุ่น-เกาหลี ที่โดนภาษี 15%
- ยุโรปโดน 2 แบบ โดย
(a) ถ้าภาษีเดิม >15%: ไม่ต้องเสียภาษีเพิ่มแล้ว
(b) ถ้าภาษีเดิม <15%: จะต้องเสียภาษีเพิ่มเท่ากับ (15% – อัตราภาษีเดิม) - สวิสฯ 39% กระทบบริษัทยายักษ์ใหญ่ Novartis และ Roche
- แคนาดา 39% เนื่องจากไม่ช่วยสหรัฐฯจัดการปัญหายาเสพติด แต่สินค้าที่อยู่ในกรอบ USMCA จะยังได้รับการยกเว้นภาษีต่อไป
🔍 ไทยดูไม่เสียเปรี่ยบชาติอาเซียนด้วยกัน แต่ต้องรอการเปิดเผยละเอียดข้างในว่า มีเงื่อนไขภาษีเพิ่มเติมไหม
, ข้อแลกเปลี่ยนที่ไทยใช้ต่อรองกับสหรัฐฯ คืออะไรบ้าง
🔍 สำหรับมุมมองต่อภาพรวม ตัวเลขดังกล่าวถือเป็น Slightly Negative ต่อหุ้นโลก เนื่องจาก ปัจจุบันสหรัฐฯ ยังคงเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าที่ตลาดคาดหวัง ที่ 15% สำหรับกลุ่มประเทศที่บรรลุข้อตกลงแล้ว, อนาคตนักลงทุนคงต้องการรอดูความชัดเจนเรื่องภาษีรายอุตสาหกรรม
2. ทรัมป์กดดันบริษัทยาใหญ่ 17 แห่ง ให้ลดราคายาในสหรัฐฯ ให้เท่ากับราคาต่ำสุดในต่างประเทศ (MFN) ภายใน 60 วัน พร้อมเตือนจะลงโทษ หากปฏิเสธ
- ตัวอย่างบริษัทที่กระทบ Eli Lilly, Pfizer, Novo Nordisk, Merck, AstraZeneca, GSK, Sanofi, Regeneron, Amgen
- ถือเป็นสัญญาณว่า รัฐบาลพร้อมใช้ทุกวิธีทาง เช่น ด้านการนำเข้ายา, ภาษี, กฎระเบียบ เพื่อบังคับให้บริษัททำตาม
🔍 เรื่องนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากสภาคองเกรสอย่างเข้มแข็ง และระบบสุขภาพแต่ละประเทศก็ต่างกันอย่างมาก ทำให้ยากจะผ่านกฎหมายผูกมัดบริษัทแบบจริงจัง
🔍 เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในช่วงมาตรการ MFN ของทรัมป์สมัยแรก เคยถูกศาลสกัดและยกเลิกเพราะละเมิดกระบวนการที่เหมาะสม (Administrative Procedures Act)
3. สรุปผลประชุม Politburo จีน
- เศรษฐกิจครึ่งปีแรกโต 5.3% เกินเป้า ทำให้รัฐบาลไม่จำเป็นต้องรีบออกมาตรการกระตุ้นแรง ๆ ในทันที แต่ยังเน้นติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด
- เน้นคุมเสถียรภาพให้เศรษฐกิจเดินไปอย่างมั่นคง พร้อมปรับนโยบายได้ถ้าครึ่งปีหลังมีแรงกดดันเพิ่มเติม
- ใช้มาตรการแบบเจาะจุด แก้ปัญหาตรงจุดแทนการอัดฉีดกว้าง ๆ
มาตรการที่จะใช้ต่อจากนี้จะเน้นเฉพาะจุด เช่น ออกพันธบัตรเพิ่ม, สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs), ช่วยอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและนวัตกรรม, และเร่งส่งเสริมการค้าต่างประเทศ - จัดการการเงินและการคลังให้มีประสิทธิภาพ โดยเร่งออกพันธบัตรรัฐบาล แต่เน้นใช้เงินให้คุ้มค่า แก้ปัญหาหนี้แฝงของท้องถิ่น และปฏิรูปโครงสร้างการคลังในระยะยาว ภายในปี 2027
- เปลี่ยนแนวทางแก้ปัญหาอสังหาฯ และ “พัฒนาตลาดทุน”
ในภาคอสังหาฯ จะเน้นโครงการ “พัฒนาเมืองคุณภาพ” แทนการอัดฉีดตลาดบ้านแบบเดิม ขณะที่ตลาดทุนจะถูกพัฒนาให้แข็งแรงขึ้น เปิดโอกาสให้บริษัทเทคเข้าตลาด ดึงดูดนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และสนับสนุนนักลงทุนระยะยาว - จับตาความเสี่ยงและ “ควบคุมการแข่งขันที่รุนแรงเกินไป”
โดยประกาศควบคุมการแข่งขันที่ไร้ระเบียบในอุตสาหกรรมที่กำลังล้นกำลังการผลิต เพื่อป้องกันสงครามราคาและแรงกดดันเงินฝืด
🔍 ภาพรวมเป็นลบต่อหุ้นจีนโดยรวมในระยะสั้น ขณะที่ ตั้งแต่เดือนก.ย. มีลุ้นมาตรการเพิ่มเติม
🔍 สำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง SCBEV(A) น่าสนใจในเชิงเก็งกำไร
เพราะนโยบายหลักของรัฐบาลจีนในช่วงนี้ เน้นควบคุม Price War (Anti‑Involution)
มาตรการลักษณะนี้ช่วยลดแรงกดดันในอุตสาหกรรมและเอื้อต่อการทำกำไรของผู้เล่นหลัก
ทำให้กลุ่ม EV Supply Chain มีโอกาสได้แรงหนุนจากสภาพการแข่งขันที่ดีขึ้นในระยะถัดไป
Thanachart Global Investment
🌟 เพิ่มโอกาสในการลงทุนหุ้นนอกให้คุณง่ายกว่าเดิมกับ Thanachart Global Investment
เปิดบัญชีฟรี | ลงทุนไม่มีขั้นต่ำ | ค่าธรรมเนียมสุดพิเศษ | ฟรีโอนถึงสิ้นปี | ลงทุนได้ถึง 10 ประเทศ | เทรดหุ้นสหรัฐ 24 ชั่วโมง
📞เปิดบัญชีเลย คลิก https://bit.ly/3Q679OY หรือ Contact center 02-779-9000
เทรดหุ้นนอกง่าย ตลอด 24 ชม. ด้วยแอป Think+ Global
👉 โหลดเลย https://onelink.to/p6g8w2