Wealth Strategy (2Q25): วันที่ 22 เมษายน 2568

นโยบายของทรัมป์อาจเพิ่มความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนทำให้อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ เนื่องจากภาคธุรกิจเริ่มขาดความมั่นใจ ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจะยิ่งเพิ่มแรงกดดัน ส่งผลให้ธุรกิจลดการผลิต การจ้างงาน และการลงทุนลงตามลำดับ… ในทางกลับกัน เศรษฐกิจจีนได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ ที่เข้ามาช่วยประคับประคองไว้
สำหรับเศรษฐกิจไทย เราปรับประมาณการการเติบโตของ GDP ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 1.5/1.4% ในปี 2025-26F มองภาพเศรษฐกิจไทยมีแรงกดดันจาก สงครามการค้าที่รุนแรงกว่าคาด, การบริโภคที่เริ่มมีสัญญาณจะอ่อนแอลง, การท่องเที่ยวที่เริ่มสูญเสียโมเมนตัม
ขณะที่ แม้มาตรการภาษีการค้าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย แต่เรามองว่าหุ้นที่มีกระแสเงินสดแข็งแกร่ง และได้รับผลกระทบจากภาษีจำกัด ได้ปรับฐานลงมาในระดับที่น่าสนใจแล้ว ทำให้การ “คัดเลือกลงทุน” มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี
แนะนำจัดพอร์ตแบบ “Moderate Risk” โดยให้น้ำหนักหุ้นไทย เพิ่มขึ้นเป็น 25% (เดิม 20%), ลดหุ้นต่างประเทศ เหลือ 15% (เดิม 20%) โดยเน้นหุ้นอินเดีย และหุ้นจีน A-Shares, ขณะที่ ทองคำ 5%, Asset Fund 10% และตราสารหนี้ 45% โดยเน้นกองทุนตราสารหนี้ที่มี duration ยาว อย่าง K-FIXED-A, UGIS-N ตามลำดับ
(Wealth Strategy เป็นรายงานที่ บล.ธนชาต จัดทำให้กับนักลงทุน โดยมีการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และนอกประเทศ นโยบายรัฐบาล แนวโน้มตลาดหุ้น-หุ้นรายตัว อุตสาหกรรม กระแสเงินทุน อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในรูปแบบที่กระชับเข้าใจง่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดสินทรัพย์ในการลงทุน (Asset Allocation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในสภาวะการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวมเร็ว และมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ในรายงาน Wealth Strategy ไม่ได้มีเพียงการแนะนำการลงทุนในหุ้นสามัญในประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการลงทุนต่างประเทศ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนประหยัดภาษี (RMF และ LTF) กองทุนอสังหาฯ สินค้าโภคภัณฑ์ และการพักเงินในกองทุนการเงินระยะสั้น (Money Market Fund)