Wealth Strategy (3Q25): วันที่ 23 กรกฎาคม 2568

ทรัมป์มีท่าทีจริงจังเรื่องการลดขาดดุลการค้า พร้อมใช้มาตรการภาษีต่อคู่ค้าหลายประเทศ แม้จะกระทบต่อภาคธุรกิจและห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ ด้วยก็ตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอการเติบโต ความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อฝั่งต้นทุนเร่งตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนเชิงโครงสร้างที่ประเมินได้ยาก
แม้เศรษฐกิจไทยจะซบเซามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน กลับมีแนวโน้มอ่อนแอลงต่อเนื่อง แต่เรามองว่าแรงกดดันจากการเมืองยังอยู่ในวงจำกัด และคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังสามารถเติบโตได้ราว 1.5%
แนะนำจัดพอร์ตแบบ “Moderate Risk” ขณะที่ ให้น้ำหนักรายสินทรัพย์ ดังนี้ หุ้นไทย 25%, หุ้นต่างประเทศที่ 15% โดยเน้นกองทุนหุ้น Defensive อย่าง ES-HEALTHCARE, ตราสารหนี้ที่ 45% โดยเน้นกองทุนตราสารหนี้คุณภาพอย่าง K-GDBOND-A(A) และ ONE-FFI, ทองคำที่ 5%, REIT ที่ 10%
(Wealth Strategy เป็นรายงานที่ บล.ธนชาต จัดทำให้กับนักลงทุน โดยมีการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และนอกประเทศ นโยบายรัฐบาล แนวโน้มตลาดหุ้น-หุ้นรายตัว อุตสาหกรรม กระแสเงินทุน อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในรูปแบบที่กระชับเข้าใจง่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดสินทรัพย์ในการลงทุน (Asset Allocation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในสภาวะการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวมเร็ว และมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ในรายงาน Wealth Strategy ไม่ได้มีเพียงการแนะนำการลงทุนในหุ้นสามัญในประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการลงทุนต่างประเทศ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนประหยัดภาษี (RMF และ LTF) กองทุนอสังหาฯ สินค้าโภคภัณฑ์ และการพักเงินในกองทุนการเงินระยะสั้น (Money Market Fund)