Wealth Strategy (1Q25): วันที่ 21 มกราคม 2568
ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงน่าลงทุนจากเศรษฐกิจในประเทศที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาประเทศหลัก เอื้อต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ เศรษฐกิจจีน แม้อาจได้รับผลกระทบจากภาษีการค้า แต่ก็มีเสถียรภาพที่ดีขึ้น และจะได้รับแรงหนุนจากมาตรการที่ทางการเตรียมจะออกมาเพิ่มเติม
แม้ปัจจุบันภาพเศรษฐกิจไทยจะยังคงอ่อนแอและเผชิญความท้าทายที่หลากหลาย ทั้งจากปัญหาหนี้สินที่สูง, โครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวช้า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง, การทุ่มสินค้าจากจีน, ความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาลทรัมป์ และภาพการฟื้นตัวที่ยังไม่ทั่วถึง รวมถึงเรื่องสังคมผู้สูงอายุ… อย่างไรก็ดี เราเห็นพัฒนาการเชิงบวกที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพในระยะถัดไป จากการใช้มาตรการต่างๆของรัฐบาล, การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี
แนะนำจัดพอร์ตแบบ “Moderate Risk” (เดิม Moderate High Risk) โดยให้น้ำหนักหุ้นไทย ที่ 20% (เดิม 30%), หุ้นต่างประเทศ ที่ 20% (เดิม 30%), ทองคำ ที่ 5%, Asset Fund ที่ 10% และตราสารหนี้ 45%
โดยเราแนะนำลงทุนหุ้นไทยผ่านแผนลงทุน ZEAL ที่ทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดต่อเนื่อง… สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เราแนะนำ “ซื้อ” กองทุน 1) ES-HEALTHCARE ซึ่งลงทุนในหุ้นสุขภาพทั่วโลก 2) KF-HJAPAND ที่ลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นคุณภาพดี 3) PRINCIPAL VNEQ-A ที่เน้นลงทุนหุ้นเวียดนามโดยตรง และมีผลงานระยะยาวที่โดดเด่น
(Wealth Strategy เป็นรายงานที่ บล.ธนชาต จัดทำให้กับนักลงทุน โดยมีการวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศ และนอกประเทศ นโยบายรัฐบาล แนวโน้มตลาดหุ้น-หุ้นรายตัว อุตสาหกรรม กระแสเงินทุน อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ในรูปแบบที่กระชับเข้าใจง่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถจัดสินทรัพย์ในการลงทุน (Asset Allocation) ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในสภาวะการลงทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงรวมเร็ว และมีความหลากหลายมากขึ้นในปัจจุบัน ทั้งนี้ในรายงาน Wealth Strategy ไม่ได้มีเพียงการแนะนำการลงทุนในหุ้นสามัญในประเทศเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการลงทุนต่างประเทศ กองทุนตราสารหนี้ กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนประหยัดภาษี (RMF และ LTF) กองทุนอสังหาฯ สินค้าโภคภัณฑ์ และการพักเงินในกองทุนการเงินระยะสั้น (Money Market Fund)