Siam Senses – เสาหลักสั่นคลอน

นโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ มีผลกระทบร้ายแรงต่อประเทศไทยจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงต่อโมเดลเศรษฐกิจแบบเปิดของประเทศ เรามองว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่จะได้รับผลกระทบหนัก และได้ปรับลดประมาณการ GDP และดัชนีเป้าหมาย SET ลงอย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบต่อไทยค่อนข้างหนัก
นโยบายภาษีของสหรัฐฯ มีผลกระทบร้ายแรงต่อไทย และเราปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2025-26F ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 1.5/1.4% 1) เรามองว่าภาษีที่ใช้ทั่วโลกนี้เกินกว่าที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคจะสามารถแบกรับภาระร่วมกันได้ และจะส่งผลต่อการชะลอตัวอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจโลก โดยสหรัฐฯ จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด 2) เป้าหมายของสหรัฐฯ ที่ไม่เพียงแต่จีนเท่านั้น แต่ยังรวมถึง China+1 ทำให้ไทยซึ่งเป็นผู้ได้ประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์กลายเป็นผู้เสียประโยชน์ 3) โมเดลเศรษฐกิจแบบเปิดของไทยกำลังถูกคุกคาม โดยทั้งสามเสาหลักต้องเตรียมรับผลกระทบ ได้แก่ การส่งออก (60% ของ GDP), การท่องเที่ยว (9% ของ GDP) และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศหรือ FDI (6% ของยอดขอ BOI ต่อ GDP) และ 4) สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศที่กำลังเจอกับสภาวะที่นโยบายการคลังและการเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ
กลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ
กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบทางลบ ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์, การท่องเที่ยว, นิคมอุตสาหกรรม, พลังงาน, ส่งออก, ยานยนต์ และธนาคาร ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์อ่อนแออยู่แล้วจากผลกระทบของแผ่นดินไหว ขณะที่กลุ่มที่แข็งแกร่ง (defensive) ในการรับมือกับปัจจัยดังกล่าวคือ โทรคมนาคม, ค้าปลีก, และโรงพยาบาล ส่วนกลุ่มที่ได้รับประโยชน์บางส่วน ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน (finance) จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และกลุ่มสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานจากราคาพลังงานที่ลดลง เราแสดงการปรับประมาณการกำไร ราคาเป้าหมาย และคำแนะนำของบริษัทส่วนใหญ่ที่เราทำบทวิเคราะห์ใน Exhibit 7
กลยุทธ์การลงทุน
เนื่องจากประมาณการ GDP ที่ลดลง เราปรับคาดการณ์การเติบโตของกำไรของตลาดลงเหลือ -3/5/8% ในปี 2025-27F (จาก 8-10% ต่อปี) และปรับดัชนีเป้าหมาย SET ปี 2025F ลงเหลือ 1,220 จุด (จาก 1,430 จุด) อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความปั่นป่วนและตื่นตระหนกของโลกนี้ SET อาจร่วงลงไปถึงระดับ 1,020 จุด คิดเป็นจุด crisis ในอดีตที่ราว 1 เท่า P/BV กลยุทธ์การลงทุนของเรามีดังนี้: 1) เลือกกลุ่มภายในประเทศที่ยังคงเติบโต ได้แก่ โทรคมนาคม, ค้าปลีก และโรงพยาบาล 2) ลงทุนในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เช่น ธุรกิจการเงิน และ REITs เราคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสามครั้งจาก 2.00% เป็น 1.50/1.25% ในปี 2025-26F 3) หลีกเลี่ยงหุ้นที่เกี่ยวกับการส่งออกและสินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เช่น อิเล็กทรอนิกส์, พลังงาน และการท่องเที่ยว 4) หลีกเลี่ยงหุ้นธนาคาร ด้วยมีแนวโน้มที่จะเกิดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่รวดเร็วและบ่อยครั้งมากขึ้น 5) เล่นหุ้นที่มีมูลค่าลดต่ำมากเกินไปจากการขายที่ panic จากเหตุการณ์นี้ และหุ้นที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม (collateral damage)
เปลี่ยนหุ้น Top Picks
เราได้เปลี่ยนหุ้น Top Picks ในพอร์ตของเรา 3 ตัว โดยเราแทนที่ WHA, MINT และ CBG ด้วย ADVANC, CPN และ 3BBIF เรายังชอบ MTC และ SAWAD มีมูลค่าที่ถูก และจะได้ประโยชน์จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย TRUE และ CPAXT เป็นหุ้น defensive ที่ยังมีปัจจัยการเติบโตภายในบริษัทเอง COM7 และ MOSHI ถูก de-rated ลงแล้ว แต่ยังคงเติบโตจากการขยายสาขา เรายังคง AMATA ไว้ในพอร์ต หลังราคาหุ้นร่วงลงอย่างมาก ทำให้มูลค่าหุ้นลดลงมาอยู่ในระดับวิกฤตในอดีตที่ P/BV เพียง 0.8 เท่า
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน……