Economics 18 May 2025, 05:50

Economics – 1Q25 GDP ยังดีอยู่


GDP ของไทยใน 1Q25 ขยายตัว 3.1% y-y ดีกว่าที่เราคาดไว้ที่ 2.6% ปัจจัยหลักที่ทำให้ GDP ดีกว่าคาดคือยอดส่งออกที่สูง ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศยังคงอ่อนแอ ถึงแม้ว่าเราจะปรับคาดการณ์ GDP ปี 2025F ขึ้นเป็น 1.9% แต่คาดว่าอัตราการขยายตัวจะเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ 2Q25F เป็นต้นไป

GDP แข็งแกร่งใน 1Q25 หนุนโดยปัจจัยภายนอก

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยใน 1Q25 ขยายตัว 3.1% y-y ลดลงเล็กน้อยจาก 3.3% ใน 4Q24 ซึ่งดีกว่าคาดการณ์ของเราที่ 2.6% โดยสาเหตุหลักมาจากตัวขับเคลื่อนจากปัจจัยภายนอก การส่งออกในเทอมดอลลาร์สหรัฐโต 15.6% y-y ขณะที่การนำเข้าเติบโตเพียง 6.3% y-y การนำเข้าบริการ ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งลดลง 2.7% y-y ซึ่งเราเชื่อว่าเกิดจากอัตราค่าระวางเรือที่ลดลง การส่งออกบริการ ซึ่งรวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวเติบโต 8% y-y แม้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังประเทศเติบโตเพียง 2% y-y ใน 1Q25 สำหรับปัจจัยภายในประเทศยังคงอ่อนแอ การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลงเหลือ 2.6% y-y จาก 3.4% ใน 4Q24 การเติบโตของการลงทุนภาคเอกชนติดลบ 1% y-y จาก -2% ใน 4Q24 การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้น 26% y-y แต่มาจากฐานที่ต่ำมากใน 1Q24 ที่เกิดจากการอนุมัติงบประมาณที่ล่าช้า

ปรับคาดการณ์ GDP

ปัจจัยภายนอกที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้และการยืดเวลาเก็บภาษีจากสหรัฐฯ ออกไปชั่วคราว ทำให้เราปรับคาดการณ์การการขยายตัวของ GDP ปี 2025-26F ขึ้นเป็น 1.9/1.8% จากเดิมที่ 1.5/1.4% อย่างไรก็ตาม เรายังคงมองว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวในไตรมาสถัดไป เนื่องจากคาดว่าจะเห็นผลกระทบที่ชัดเจนจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ในอนาคต เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจภายในที่อ่อนแอ โดยปัจจัยภายนอกเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยสนับสนุนการเติบโต และปัจจุบันปัจจัยภายนอกเหล่านี้เริ่มมีความเสี่ยงจากการเก็บภาษีของสหรัฐฯ

ภาษีของสหรัฐฯ เป็นตัวแปรสำคัญ

ประเทศไทยได้รับการผ่อนปรนจากการเลื่อนการเก็บภาษีของสหรัฐฯ ออกไป 90 วัน ตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งภาษีที่เก็บจากประเทศไทยมีอัตรา 36% และลดลงเหลือ 10% ในช่วงระยะเวลา 90 วันนี้ ส่งผลให้การส่งออกมีการเร่งตัวขึ้นในช่วงผ่อนปรนนี้ การส่งออกเพิ่มขึ้น 15.6% y-y ใน 1Q25 การสั่งของล่วงหน้านี้หมายถึงมีความเสี่ยงสูงที่การส่งออกจะหดตัวใน 2H25F ภาษีของสหรัฐฯ เป็นตัวแปรสำคัญในการประมาณการของเรา ซึ่งจะมีผลกระทบในทางบวกหากภาษีที่เก็บจากประเทศไทยลดลงเหลือ 15% หรือต่ำกว่า แต่หากภาษีสูงกว่านั้นจะเป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกและการไหลเข้าของการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว หากสมมติว่าภาษีที่เก็บจากจีนอยู่ที่ 30% จากไทยที่ 15% โดยที่เวียดนามไม่ต่ำกว่าไทย และอินเดียที่ 10% เราคาดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการไหลเข้าของ FDI ส่วนต่างแค่ 5% ระหว่างประเทศไทยและอินเดียอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้การไหลของ FDI เปลี่ยนจากประเทศไทยไปยังอินเดีย

เศรษฐกิจภายในประเทศยังคงอ่อนแอ

เศรษฐกิจภายในประเทศของไทยอ่อนแออย่างมาก ด้านการเงิน ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งหมายความว่ากลไกการสร้างอุปทานเงินไม่ดี ธนาคารแห่งประเทศไทยยังลังเลที่จะลดอัตราดอกเบี้ยในนโยบายในเชิงรุก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำจะไม่ได้ผลดีเต็มที่ถ้าธนาคารยังคงไม่ปล่อยสินเชื่อ ด้านการคลัง รัฐบาลก็ยังลังเลที่จะใช้งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากมีหนี้สาธารณะสูงถึง 64% ของ GDP โดยมีงบประมาณที่เหลือเพียง 1.57 แสนลบ. (0.8% ของ GDP) สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่จะสามารถทำได้ การจะมีมติกู้ยืมเงิน 5.0 แสนลบ. (2.5% ของ GDP) จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสหรัฐ ไม่ผ่อนปรนนโยบายภาษีนำเข้า

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน……

รายงานฉบับภาษาไทย Thai Version

รายงานฉบับภาษาอังกฤษ English Version