Equity Industries 20 Nov 2025, 16:43

Bank Sector (Neutral) – ผลกระทบจาก AMC มีจำกัด


AMC เป็นโครงการที่สร้างสรรค์ในการจัดการ NPL และสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดที่เล็กจึงบ่งชี้ถึงผลกระทบโดยรวมมีน้อยมาก นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานมากกว่านโยบาย โดย KTB และ TIDLOR ยังคงเป็นหุ้นที่น่าซื้อมากที่สุด

นโยบายแก้ปัญหา NPL

ไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนในระดับสูง ซึ่งจำกัดความสามารถของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ รัฐบาล และธปท. จึงกำลังวางแผนโครงการ AMC สองรูปแบบ ได้แก่ 1) โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ที่มีเป้าหมายจัดการ NPL รายย่อยแบบไม่มีหลักประกันวงเงิน 1.22 แสนลบ. (10% ของ NPL รายย่อย) ผ่าน SAM และ Ari-AMC โดยเฟสแรกจะเน้นจัดการ NPL ของธนาคารและบริษัทย่อย วงเงิน 4.36 หมื่นลบ. และ 2) JV AMC ที่นำกลับมาใช้ใหม่ในเดือนพ.ย. 2025 ซึ่งเปิดทางให้ธนาคาร สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (NBFCs) และ AMC ร่วมกันบริหารจัดการ NPL ได้ แม้ AMC จะเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการปรับโครงสร้างหนี้ แต่ด้วยขนาดโครงการที่ยังเล็ก เรามองว่าผลกระทบโดยรวมจะยังจำกัด

ผลกระทบต่อผู้ให้กู้: การคุ้มครองเงินทุนมากกว่าการเพิ่ม NP

โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ไม่น่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธนาคาร เนื่องจากการโอน NPL 4.36 หมื่นลบ. ไปยัง SAM นั้นมีขนาดเล็กเกินไปที่จะส่งผลต่อคุณภาพสินทรัพย์โดยรวมของระบบ ขณะที่ความสนใจใน JV AMC รูปแบบใหม่กำลังเพิ่มขึ้น โดยมี SCB และ KTB เป็นผู้เล่นที่มีศักยภาพ เนื่องจากมีพอร์ตสินเชื่อรายย่อยขนาดใหญ่ แต่ผลประโยชน์ทางการเงินคาดว่าจะยังคงมีจำกัด ด้วยจะช่วยปรับโครงสร้างงบดุลมากกว่าสร้างผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนบริษัทย่อย TIDLOR ยังคงไม่ได้รับผลกระทบ เพราะพอร์ตสินเชื่อทั้งหมดมีหลักประกัน ขณะที่ KTC อาจเผชิญความเสี่ยง เพราะการขาย NPL ไม่มีหลักประกันตามข้อกำหนดอาจให้ผลตอบแทนต่ำกว่าประสิทธิภาพการติดตามหนี้ที่แข็งแกร่งของบริษัทเอง

ผลกระทบต่อ AMCs: JMT เผชิญข้อจำกัด BAM ได้ประโยชน์

JMT มีแนวโน้มเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากปริมาณ NPL ในตลาดจะตึงตัวขึ้นจากโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” อีกทั้งข้อจำกัดด้านเงินทุนและบุคลากรที่มีจำกัด ทำให้การเข้าร่วม JV AMC ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่ BAM อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า โดยเตรียมเปิดตัว JV AMC ใหม่มูลค่าเริ่มต้นราว 1 หมื่นลบ. และมีโอกาสขยายเป็น 3–5 หมื่นลบ. ภายใน 3–5 ปี ผลกระทบต่อกำไรในระยะสั้นอาจไม่มาก แต่ส่วนแบ่งน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อพอร์ตเติบโตและเข้าสู่ช่วงให้ผลตอบแทน

KTB และ TIDLOR เป็น Top Picks ของเรา

เรามองว่าโครงการ AMC ที่ถูกนำกลับมาใช้จะเป็นตัวหนุนวงจรสินเชื่อของไทย แต่ยังมีแรงขับเคลื่อนจำกัด เรายังคงคาดว่าธนาคารจะมีสินเชื่อเติบโตเพียง ~1% ต่อปี ในปี 2025-27F และอัตราส่วน NPL เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 3.36% ในปี 2024 เป็น 3.76% ในปี 2027F ดังนั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมากกว่านโยบาย KTB ยังคง Top Pick ด้วยมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี และมี upside ต่อปันผลชัดเจน สำหรับ NBFC เราชอบ TIDLOR เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น และนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้นน่าจะช่วยเร่งการเติบโตของ ROE

รายงานฉบับภาษาไทย Thai Version

รายงานฉบับภาษาอังกฤษ English Version