Company Equity 12 Sept 2024, 03:30

SCGP (BUY) – กำไรพลิกฟื้น –  Target Price Bt35.00, Price Bt31.75


เราปรับเพิ่มคำแนะนำ SCGP เป็น “ซื้อ” ราคาเป้าหมายสูงขึ้นเป็น 35 บาท จากเรื่องราวการฟื้นตัวของกำไรหลังจากหดตัวติดต่อกันสามปี ราคาหุ้นปรับตัวลงไปแล้ว 56% จากจุดสูงสุดในปี 2021 ซึ่งเราเชื่อว่าได้สะท้อนข่าวลบส่วนใหญ่ไปแล้ว

ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”

เราปรับเพิ่มคำแนะนำ SCGP เป็น “ซื้อ” จาก ขาย และปรับราคาเป้าหมาย (ปีฐาน 2024F) ขึ้นเป็น 35 บาท จาก 32 บาท เนื่องจาก 1) ความต้องการกระดาษบรรจุภัณฑ์เริ่มดีขึ้น และราคากระดาษก็ฟื้นตัวจากระดับต่ำใน 3Q23 อัตราการใช้กำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์สูงกว่า 90% ใน 1Q24F เทียบกับ 83% ในปี 2023 2) Fajar ในอินโดนีเซียคาดว่าจะถึงจุดคุ้มทุนระดับ EBITDA ใน 1Q24F และ EBITDA พลิกเป็นบวกตั้งแต่ 2H24F 3) เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวที่ 26/24/16% ในปี 2024-26F หลังจากกำไรหดตัวติดต่อกันสามปี เราปรับลดประมาณการกำไรของเราในปี 2024F ลง 9% เพื่อสะท้อนดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นจากการเข้าซื้อหุ้น 45% ที่เหลือใน Fajar Surya Wisesa (Fajar) ในเดือนมิถุนายน 2024 แต่เพิ่มขึ้น 1-8% ในปี 2025-26F จากมุมมองที่เป็นบวกมากขึ้นของเราต่อการฟื้นตัวของความต้องการ และ 4) หลังจากร่วงลง 56% จากจุดสูงสุดในปี 2021 เราเชื่อว่าราคาหุ้นได้สะท้อนข่าวลบส่วนใหญ่ไปแล้ว

ความต้องการฟื้นตัว

ยอดขายของ SCGP ลดลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากการล็อกดาวน์ในจีน การฟื้นตัวหลังการล็อกดาวน์ที่อ่อนแอ และอุปสงค์ในภูมิภาคที่อ่อนแอ SCGP เห็นว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นสูงกว่า 90% ใน 1Q24F จาก 85% ใน 4Q23 และต่ำสุดที่ 81% ใน 3Q23 ค่าเฉลี่ยห้าปีอยู่ที่ 96% การฟื้นตัวมาจากอุปสงค์ในประเทศและอุปสงค์การนำเข้าของจีน ซึ่งกลับมาอยู่ที่ระดับก่อนโควิด ความต้องการที่ฟื้นตัวได้ส่งผลให้ราคากระดาษคราฟท์ (Testliner paper) สูงขึ้นเป็น US$410/tonne ในเดือนมีนาคม 2024 ซึ่งสูงกว่าจุดต่ำสุดใน 3Q23 ถึง 7%

Fajar EBITDA กำลังคุ้มทุน

SCGP ถือหุ้น 55% ใน Fajar Surya Wisesa (FASW IJ, non-rated) ในอินโดนีเซีย และจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 99.7% ในเดือนมิถุนายน 2024 บนราคาเข้าซื้อกิจการที่ 2.3 หมื่นลบ. Fajar คิดเป็น 35% ของกำลังการผลิตของ SCGP และจะเพิ่มขึ้นเป็น 39% หลังจากการเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้น Fajar เป็นปัจจัยกังวลหลักของตลาด เนื่องจากการดำเนินงานที่ย่ำแย่นับตั้งแต่ 4Q22 เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงในอินโดนีเซียและการส่งออกไปยังจีนที่อ่อนแอ Fajar มี EBITDA ติดลบจำนวน 0.2 พันลบ. และมีผลขาดทุน 1.4 พันลบ. ในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน SCGP คาดว่า EBITDA ของ Fajar จะสามารถคุ้มทุนได้ใน 1Q24 จากปริมาณและราคาขายที่ดีขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้น 7-8% จากเดือนตุลาคม 2023

แรงหนุนจากราคาเยื่อใยสั้น

22% ของ EBITDA ของ SCGP ในปี 2023 มาจากธุรกิจเส้นใย เนื่องจากการฟื้นตัวของความต้องการในอุตสาหกรรมสิ่งทอและระดับสินค้าคงคลังที่ต่ำในประเทศผู้ผลิตหลักในอเมริกาใต้ ราคาเยื่อใยสั้น (Short fiber pulp) จึงฟื้นตัวขึ้น 5% q-q เป็น US$654/tonne ใน 1Q24 และเราคาดว่าจะเพิ่มไปอีก 9% เป็น US$715/tonne ในเดือนเม.ย.2024 แตะระดับสูงสุดในรอบปี  

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน……

รายงานฉบับภาษาไทย Thai Version

รายงานฉบับภาษาอังกฤษ English Version